นักเศรษฐศาสตร์บางคนเริ่มมีความหวาดวิตกเกี่ยวกับการที่ธนาคารกลางของประเทศสหรัฐอเมริกาหรือ FED
นักเศรษฐศาสตร์บางคนเริ่มเห็นว่า การปรับอัตราดอกเบี้ยสู้กับภาวะเงินเฟ้อนั้นอาจเป็นการเดินหน้าแบบมากเกินไป ในช่วงที่ผ่านมาทางธนาคารกลางของประเทศสหรัฐอเมริกาได้เดินหน้าปรับอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการปรับดอกเบี้ยเร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 1980
ทางด้าน Jerome Powell ประธานธนาคารกลางของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกมากล่าวแล้วว่า ธนาคารกลางไม่พยายามเดินหน้าทำให้เศรษฐกิจในประเทศเกิดความถดถอย แต่ธนาคารกลางจะล้มเหลวถ้าหากไม่สามารถกดอัตราเงินเฟ้อให้ต่ำลงได้ โดยเขาหวังว่าจะหาทางทำให้เรื่องนี้เบาบางและเจ็บปวดให้น้อยที่สุด อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์หลายคนยังคงกังวลกับการปรับอัตราดอกเบี้ยของ FED อย่างต่อเนื่อง จนอาจทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะขาลงอย่างที่ไม่ควรจะเป็น
ทางด้าน Greg Mankiw นักเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัย Harvard ผู้ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาให้กับอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้ออกมากล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะสร้างความเจ็บปวดให้กับคนส่วนใหญ่เป็นอย่างมาก เขาคิดว่า ประธานธนาคารกลางสหรัฐอาจมองว่า ความเจ็บปวดบางอย่างอาจเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่จะต้องไม่ทำให้เจ็บปวดมากเกินความจำเป็น
อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่า เริ่มมีหลายฝ่ายเสียงแตกเกี่ยวกับการตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ยของ FED ที่เห็นว่า ภาวะเงินเฟ้อมาจากความปั่นป่วนของโลก โดยจะต้องให้ความสำคัญเรื่องของอัตราการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงเวลานี้ อีกทั้งบางคนมองว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์เริ่มมีการส่งสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่า มีการปรับตัวลดลง สอดคล้องกับนักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sach บริษัททางด้านการลงทุนยักษ์ใหญ่ระดับโลกได้ออกมามองแล้วว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์อาจมีการปรับตัวลดลง 5-10 เปอร์เซ็นต์จากการที่ความต้องการเริ่มลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
เช่นกันบางคนเริ่มตั้งข้อสังเกตแล้วว่า มีความเป็นไปได้ที่ภาวะเงินเฟ้อปรับตัวลดลงหากว่าไม่มีปัญหาใหญ่ ๆ ที่อาจเพิ่มขึ้นตามมา อย่างเช่นการที่ราคาพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว โดยเฉพาะหากประเทศรัสเซียได้ตัดสินใจที่จะระงับการขายน้ำมันในประเทศลงไป ซึ่งหากว่ามีสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเข้ามาซ้ำเติมอีก ก็อาจมีความเป็นไปได้สูงที่ทางธนาคารกลางสหรัฐตัดสินใจเดินหน้าปรับอัตราดอกเบี้ยเช่นเดียวกับในยุคเศรษฐกิจตกต่ำปี 1970 ได้